อู่ซ่อมรถ Heng Kimjuy energy ถนนเทพารักษ์ กม 7 สมุทรปราการ
Description
ศูนย์ซ่อมรถยนต์ ซ่อมเครื่องยนต์ ช่วงล่าง เกียร์ เช็คระยะ ซ่อมบำรุง
สำหรับรถยนต์ทุกรุ่น
ศูนย์ซ่อมเครื่องยนต์ เฮง กิมจุ้ย เอ็นเนอจี้ เรารับซ่อมรถยนต์ ซ่อมเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่างมาตรฐาน ราคาที่คุ้มค่าที่สุดในย่านเทพารักษ์ จังหวัด์สมุทรปราการ และรับซ่อมระบบแก๊สรถยนต์ LPG ทุกงานติดตั้ง บริการ ซ่อม จะถูกดูแลโดยวิศวกรทุกขั้นตอน และเราพร้อมอธิบายทุกขั้นตอนให้ท่านลูกค้าเข้าใจถึงวิธีใช้ พร้อมด้วยทีมช่างงานแก๊สรถยนต์ และช่างเครื่องยนต์มีประสบการณ์ทางด้านแก๊สและเครื่องยนต์ไม่ต่ำกว่า 10 ปี พร้อมที่จะดูแลคุณลูกค้าทุกท่านทั้งก่อนติดตั้ง และ หลังติดตั้ง โทรมาปรึกษาสอบถามได้ที่เบอร์ 086-701-6532 ครับ
Tell your friends
RECENT FACEBOOK POSTS
facebook.comTimeline Photos
ตรวจสอบค้นหาสาเหตุของอาการที่เสียหาย
Timeline Photos
พวงมาลัยพาวเวอร์ พวงมาลัยพาวเวอร์เป็นระบบไฮดรอลิกที่ช่วยผ่อนแรงในการเลี้ยวรถ ผ่อนภาระการออกแรงหักพวงมาลัยผู้ขับ ในการขับขี่ความเร็วสูง ผู้ขับขี่ต้องใช้แรงมากขึ้นหรือหมุนพวงมาลัย พวงมาลัยพาวเวอร์เป็นระบบไฮดรอลิกที่จะช่วยผ่อนแรงเราได้มาก แม้ระบบไฮดรอลิกจะขัดข้อง แต่ยังสามารถขับขี่ได้ตามปกติ แต่จะต้องออกแรงขับมากขึ้น และถ้ามันเสียขึ้นมาละ อู่ เฮง กิมจุ้ย จะมาแนะนำวิธีถนอมพวงมาลัยพาวเวอร์ให้อยู่กับเรานานๆ คำแนะนำในการใช้พวงมาลัยพาวเวอร์ 1.อย่าหักพวงมาลัยอย่างรุนแรง เช่นการหักล้อปีนข้ามฟุตบาธ ขอบทาง เพราะอาจทำให้ซีลรั่ว ท่อทางเดินน้ำมันแตกเนื่องจากความดันขณะเลี้ยว และเมื่อความดันสูงขึ้นเกินขีดจำกัด อุณหภูมิของน้ำมันจะสูงขึ้น จะส่งผลให้ปั้มมีอุณหภูมิสูงและติดตาย 2.เวลาจอดรถ ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อตรง ไม่ควรแบะล้อออก 3.ไม่ควรหมุนพวงมาลัยขณะจอดรถอยู่กับที่ 4.ไม่ควรหมุนพวงมาลัย ไปทางซ้ายสุดหรือขวาสุด ควรคืนพวงมาลัยลงมานิดหน่อยเพื่อลดความดันน้ำมัน ซึ่งถ้าความดันน้ำมันสูงเกินไปอาจทำให้ท่อน้ำมันแตก หรือปั้มพวงมาลัยพาวเวอร์อาจเสียหายได้ ************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532
Timeline Photos
สาระควรรู้เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ที่ความเร็ว 20 กม./ชม. ระยะเบรกที่ต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 7 เมตร ที่ความเร็ว 40 กม./ชม. ระยะเบรกที่ต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 18 เมตร ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. ระยะเบรกที่ต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 34 เมตร ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ระยะเบรกที่ต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 54 เมตร ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ระยะเบรกที่ต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 80 เมตร หลายคนมักเข้าใจว่า เกียร์ออโตเมติกสามารถตอบสนองการขับขี่ได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะในความเร็วและอัตราเร่งขณะแซง หากมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ ในการใช้เกียร์ออโตเมติก เชื่อว่าจะขับรถเกียร์ออโตเมติกได้อย่างสบาย และเพลิดเพลินด้วยความปลอดภัยไม่แพ้รถเกียร์ธรรมดาเลย ผู้ขับขี่ส่วนมากใช้เกียร์อยู่เพียง 4 ตำแหน่ง นั่นคือ "D4" เมื่อต้องการขับรถไปข้างหน้า "R" เมื่อต้องการถอยหลัง "N" หรือ "P" เมื่อต้องการจอดหรือสตาร์ตรถ อันที่จริงแล้วควรใช้เกียร์ตำแหน่งอื่น เพื่อเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์เช่นกัน เทคนิคการขับรถเกียร์ออโตเมติกเมื่อลงทางลาดชันและการคิกดาวน์ (Kick Down) เมื่อต้องการเร่งแซง สำหรับการขับรถลงทางลาดชัน ขอแนะนำให้เลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง "D3" กรณีที่ทางลงนั้นมีระยะเวลายาวแต่ไม่ชันมากนัก แต่กรณีที่ทางลงนั้นชันมากๆ ให้เลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง "2" เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก (Engine Brake) ในขณะเดียวกันควรเหยียบเบรกไปด้วยหรืออาจใช้เบรกมือเพื่อช่วยในการหยุดรถที่ ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้อย่าใช้เกียร์ "N" หรือ "D4" ในการขับรถลงทางชัน เพราะจะไม่มีกำลังเครื่องยนต์ช่วยเบรกและช่วยชะลอความเร็ว นับเป็นการขับที่ผิดวิธีและเป็นอันตรายอย่างมาก กรณีที่ต้องการเร่งแซงรถคันอื่น หรือต้องการแรงเพิ่มขับเคลื่อนรถอย่างกะทันหัน สามารถเพิ่มความเร็วของรถด้วยการคิกดาวน์ (Kick Down) โดยเหยียบคันเร่งลงไปเกินกว่า 80% ในครั้งเดียวเกียร์จะเปลี่ยนลงอย่างรวดเร็ว สังเกตได้จากรอบเครื่องยนต์จะสูงขึ้น ในขณะที่รถจะมีความเร็วเพิ่มขึ้น ************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532
Photos from อู่ เฮง กิมจุ้ย Heng Kimjuy energy ถนนเทพารักษ์ กม 7 สมุทรปราการ's post
ถอดระบบแก๊ส นิสสัน มาร์ท และ รถยนต์ทุกรุ่น ได้ที่ อู่ เฮง กิมจุ้ย โทร 086-701-6532
Timeline Photos
น้ำมัน95 / 91 แตกต่างกันยังไง . 1. น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 น้ำมันชนิดนี้ รถทุกคันที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเบนซิน สามารถใช้ได้หมด เนื่องจากเป็นน้ำมันที่ไม่มีส่วนผสมของ เอทิลแอลกอฮอล์ และมีออกเทนที่ให้ค่าสูง มีการเผาไหม้ที่ดีที่สุดของน้ำมันในขณะนี้ และมีการป้องกันการน็อคของเครื่องยนต์สูง การเผาไหม้ของเครื่องยนต์จึงสมบูรณ์ และให้กำลังของการจุดระเบิดสูงตามมา สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว แต่ติดตรงที่มีราคาที่สูงกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ เป็นกฎธรรมชาติที่ว่า ของดีต้องแพงไว้ก่อน 2. น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 น้ำมันชนิดนี้ รถทุกคันอาจจะสามารถใช้ได้ ยกเว้นรถที่มีระบุไว้ว่า เติมน้ำมันชนิด เบนซินออกเทน 95 เท่านั้น ซึ่งหากเราฝืนเติมออกเทน 91 เข้าไปในรถที่มีระบุคำว่า เบนซินออกเทน 95 อาการที่รถจะแสดงออกมาให้เราทราบว่าใช้น้ำมันผิดประเภท ก็อาจจะแค่เครื่องยนต์สะดุด เดินเบาไม่เรียบ แต่รถสามารถวิ่งได้ เป็นน้ำมันที่ไม่มีส่วนผสมของ เอทิลแอลกอฮอล์ และมีค่าออกเทนที่ให้ค่าต่ำกว่าออกเทน 95 ลงมา สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว เป็นรอง ออกเทน 95 เล็กน้อย แทบจะไม่เห็นผล ต้องพิสูจน์ด้วยการนำรถเข้า Test ที่ห้องแล็บ จึงจะรู้ได้อย่างชัดเจน น้ำมันชนิดนี้จะหาเติมได้ยาก เพราะบางปั๊มไม่มีให้บริการ เนื่องจากมีชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นเข้ามาแทนที่ได้ ส่วนราคาสูงรองมาจาก ออกเทน 95 3. น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 95 น้ำมันชนิดนี้เป็นการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานมาผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซินพี้นฐาน 9 ส่วน : เอทานอล 1 ส่วน โดยค่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์จะขึ้นอยู่กับค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพื้นฐานแต่ละชนิด หากนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานออกเทน 91 จำนวน 9 ส่วน ผสมกับเอทานอล 1 ส่วน จะได้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 สามารถเลือกแก๊สโซฮอล์ตามค่าออกเทนที่ต้องการใช้มาทดแทนน้ำมันเบนซินได้ทันที น้ำมันชนิดนี้ หากรถที่ไม่มีระบุว่า สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 95 ได้ ก็ไม่สมควรที่จะใช้ เพราะจะเกิดการกัดกร่อนจากเอทิลแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่วได้ สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็วเทียบเท่ากับน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ 4. น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 น้ำมันชนิดนี้เป็นการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานมาผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซินพี้นฐาน 9 ส่วน : เอทานอล 1 ส่วน โดยค่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์จะขึ้นอยู่กับค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพื้นฐานแต่ละชนิด หากนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานออกเทน 88 จำนวน 9 ส่วน ผสมกับเอทานอล 1 ส่วน จะได้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 สามารถเลือกแก๊สโซฮอล์ตามค่าออกเทนที่ต้องการใช้มาทดแทนน้ำมันเบนซินได้ทันที น้ำมันชนิดนี้ หากรถที่ไม่มีระบุว่า สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 ได้ ก็ไม่สมควรที่จะใช้ เพราะจะเกิดการกัดกร่อนจากเอทิลแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่วได้ สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว เป็นรองจากแก็สโซฮอลล์ออกเทน 95 โดยหากรถระบุว่าสามารถเติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 ชนิดนี้ได้ น้ำมันจากข้อที่ 1-3 สามารถนำมาเติมได้ทั้งหมด แต่ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ ข้อดีของน้ำมันชนิดนี้คือ ราคาน้ำมันจะย่อมเยาลงมา ************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532
Timeline Photos
เทคนิคการใช้เกียร์ออโต้เมติค . การเปลี่ยนเกียร์จาก D ไป N ในเวลาที่รถติดไฟแดงบ่อยๆ นั้นหลายคนคงเคยปฏิบัติกันอยู่ เนื่อง จากเวลารถติดขี้เกียจเหยียบเบรกก็เข้าเกียร์ N ไว้ เมื่อรถเคลื่อนก็เปลี่ยนเป็น D ถ้าช่วงรถติดแล้วขยับเคลื่อนทีละนิดทีละหน่อย ทำให้ต้องเปลี่ยน D-N-D-N-D-N อยู่อย่างนี้เท่ากับคุณกำลังทำร้ายระบบเกียร์ของคุณอยู่ ระบบเกียร์ออโตเมติกนั้นจะประกอบด้วยชุดเกียร์ที่ขบกันตลอดเวลา การส่งแรงจาก N ไป Dจะต้องมีการสึกหรอของเฟืองนั้นต้องมีการปล่อยและจับอยู่ตลอดเวลา อายุการใช้งานก็จะสั้นลง เพราะถ้าเบรกอยู่เฉยๆ ระบบเบรกก็ไม่ได้ร้อนขึ้นเพราะว่าจานดิสเบรกหรือดุมเบรกไม่ได้หมุน ผ้าเบรกก็ไม่สึกหรอเพราะว่าล้อไม่หมุน แรงที่ใช้ในการเหยียบก็ไม่มากขนาดจะทำให้ชุมแม่ปั๊มเบรกพังหรือทำให้อายุการใช้งานน้อยลง หลายคนที่เปลี่ยนเกียร์ D-N-D-N-D-N อ่าน ถึงบรรทัดนี้แล้วก็อยากจะเถียงว่าไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงเลย รถยังคงสามารถขับได้ตามปกติ ระบบเกียร์ก็ยังปกติดอยู่ แต่พฤติกรรมอย่างนี้จะส่งผลแก่รถคุณในระยะยาว เปรียบเหมือนกับการสูบบุหรี่นั่นแหละ ระบบคลัตช์ของคุณจะลื่น ทำให้เวลาออกตัวคุณจะต้องเหยียบคันเร่งมากขึ้นทำให้รอบสูงขึ้น น้ำมันก็เปลืองขึ้น แต่รถกลับไม่ได้วิ่งอย่างนั้นเลยสูงขึ้น น้ำมันก็เปลืองขึ้น แต่รถกลับไม่ได้วิ่งอย่างนั้นเลย การใช้เกียร์ออโตเมติค ปัจจุบันรถยนต์เกียร์ออโตเมติคได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด เนื่อง จากขับขี่ได้ง่ายสะดวกสบายเพราะใช้เพียงคันเร่งและเบรกเท่านั้น คันเกียร์ของเกียร์ออโตเมติคจะมีตำแหน่งสำหรับใช้งานต่างๆ กันดังนี้ ตำแหน่ง P ใช้สำหรับจอดอยู่กับที่หรือบนพื้นที่ลาดเอียง โดยรถจะถูกล็อกให้หยุดอยู่กับที่ด้วยตัวล็อกภายในเกียร์ ตำแหน่ง R ใช้สำหรับการถอยหลัง ตำแหน่ง N ใช้สำหรับการหยุดรออยู่กับที่บนพื้นราบ ซึ่งในตำแหน่งนี้รถสามารถเข็นให้เคลื่อนที่ได้ ตำแหน่ง D ใช้สำหรับการขับขี่แบบอัตโนมัติโดยเกียร์จะเปลี่ยนไปเองโดยอัตโนมัติตามคันเร่งและความเร็วของรถ ใช้ ขับขี่ได้ตั้งแต่การเริ่มออกตัวและเพิ่มความเร็วได้ไปเรื่อย ๆ จนถึงความเร็วสูงสุด การขับขี่โดยทั่วไปสามารถใช้เกียร์นี้เพียงเกียร์เดียวเท่านั้นก็ได้ หมายเหตุ สำหรับรถที่มีสวิตซ์โอเวอร์ไดร์ว ซึ่งเป็นอุปกรณ์พิเศษในเกียร์ออโต 4 สปีดบางรุ่น เมื่อสวิตซ์โอเวอร์ไดร์วอยู่ที่ตำแหน่ง ON เกียร์ออโตจะสามารถทำงานได้ตั้งแต่เกียร์ 1 ถึงเกียร์ 4 โดยอัตโนมัติ สวิตซ์โอเวอร์ไดร์วอยู่ที่ตำแหน่ง OFF เกียร์ออโตจะทำงานโดยอัตโนมัติได้ตั้งแต่เกียร์ 1 ถึงแค่เกียร์ 3 เท่านั้น ฉะนั้น การปรับสวิตซ์โอเวอร์ไดร์วจากตำแหน่ง ON ไปเป็น OFF จึงเป็นการลดเกียร์จากเกียร์ 4 มาเป็นเกียร์ 3 เพื่อให้เหมาะกับการเร่งแซงขณะความเร็วสูง และเมื่อปรับสวิตซ์โอเวอร์ไดร์วจากตำแหน่ง OFF ไปเป็น ON จะทำให้เกียร์ 3 กลับไปเป็นเกียร์ 4 อย่างเดิม ทำให้การลดเกียร์เพื่อเร่งแซง หรือเข้าโค้งเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น ตำแหน่ง 2 ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่ไม่สูงมากนัก และสามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร ตำแหน่ง L ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่สูงมาก และต้องใช้ความเร็วต่ำ หมายเหตุ การสตาร์ทเครื่องยนต์ถูกออกแบบให้สามารถกระทำได้เฉพาะ ตำแหน่ง P กับ N เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย ************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532
Timeline Photos
การเลือกซื้อรถยนต์มือสองมีวิธีดูรถกันอย่างไ 1. ดูกันตั้งแต่จอดอยู่ไกลๆ ซักราวๆ 5 - 3 เมตร ดูรูปทรงของตัวรถทั้งหมด ว่ามีการเอียงหรือไม่ เช่น 1.1 กันชนหน้า ไฟหน้า กระจังหน้า ต้องได้รูปไม่โน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง 1.2 ฝากระโปรงหน้า สังเกตร่องระหว่างฝากระโปรงกับแก้ม ต้องเป็นสันตรงกันทั้งสองข้าง ด้านหน้าต้องตรงกันรับกับไฟหน้าและกระจังหน้า 1.3 เสาหลังคา ว่ามีการโน้มเอียงไปหรือไม่ มีความนูนโค้ง หรือเสียรูปไปจากของโรงงาน 1.4 หลังคา ว่ามีการเอียง การยุบ หรือโค้งไม่ได้รูปอย่างไร 1.5 ประตู ร่องระหว่างประตู ระหว่างแก้มหน้า เสาประตู ประตูหลัง จนถึงแก้มหลัง ว่าร่องประตูต่างๆ สังเกตเปรียบเทียบกับรถป้ายแดง สังเกตว่าร่องประตูต่างๆ จะตรงกัน 1.6 กันชนท้าย และฝากระโปรงท้าย ต้องตรงกันไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง 1.7 ความสูงต่ำ ว่ามีอาการเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ หรือมีการดัดแปลงช่วงล่างมาอย่างไร 2. สีรถ ดูระยะเริ่มใกล้ ราวๆ 1- 3 เมตร ดูสีรถรอบคัน ว่ามีส่วนไหนที่ทำสีมาแล้วบ้าง สังเกตสีที่แตกต่าง ความเรียบของผิวรถ ตำหนิต่างๆ เกี่ยวกับสี หรือว่าเคยทำสีมาทั้งคัน ถ้าทำสีมาทั้งคันแล้วต้องดูให้หนัก ต้องสันนิษฐานว่าทำสีทั้งคันเพราะอะไร เจ้าของเดิมเบื่อไม่ชอบสีเดิม สีซีดแล้วไม่สวย เกิดอุบัติเหตุทุกที่ หรือรุนแรงจนอู่ต้องตัดสินใจทำสีใหม่ทั้งคัน 3. เคาะฟังเสียง โดยการแอบไล่เคาะรถบางส่วนหรือรอบคันเพื่อฟังเสียง รถที่ทำสีแล้วมักจะมีการโป๊ว การโป๊วหนาย่อมหมายถึงอุบัติเหตุมาก เราสามารถเคาะดูเสียงที่แตกต่างกันได้ โดยการไล่เคาะฟังเสียงไปทั้งๆ คัน 4. คานหน้ารถ ต้องเปิดฝากระโปรงหน้ารถดูว่า คานหน้าที่ยึดหม้อน้ำว่ามีการทำสีมาหรือไม่ มีการโป๊วสี หรือซ่อมมาอย่างไร สังเกตจากรูน็อตต่างๆ ต้องยังกลม และหมายเลขหน้ารถต้องยังชัดเจน หรือแผ่นเพทต้องไม่เคยชำรุด ทั้งคานบนล่างต้องได้รูป 5. ภายในห้องเครื่อง ว่ามีการทำสีมาแล้วหรือไม่ สังเกตรูปทรงต่างๆ ต้องจับผิดทุกจุด ทั้งรูน็อตต่างๆ รูปทรงต่างๆ ว่าต่างจากของโรงงานมาอย่างไร 6. ภายในฝากระโปรงท้าย เปิดดูว่าคานยึดฝากระโปรงท้าย เบ้ายึดไฟท้าย ห้องเก็บยางอะไหล่ ว่ามีการทำสี เคาะ โป๊ว หรือ ตัดเชื่อมมาหรือไม่ ควรก้มดูด้านล่าง สังเกตหูลากรถ ว่าต่างจากของเดิมมาอย่างไร 7. ใต้ท้องรถ ส่วนใหญ่แล้วมักจะมองข้ามกัน แต่ใต้ท้องรถบ่งบอกถึง การใช้งานแบบทุรกันดาร การตัดต่อตัวถัง การเสียรูปของตัวรถ ความผุของตัวถังที่มักเริ่มจากพื้นรถเป็นอันดับแรก สังเกตเฟรมใต้ท้อง ความบุบครูด สนิมที่เริ่มผุ หรือการแยกกันแล้วของตัวถังรถ 8. ภายในรถ ดูรถมาตั้งนานได้เปิดดูภายในกับเขาเสียที ไม่ใช่จะซื้อรถต้องเปิดดูภายในเป็นอันดับแรก มาดูว่าต้องดูอะไรบ้าง 8.1 เบาะรถยนต์ ดูว่าเก่าขาด หรือยุบตัวทางด้านไหน หรือเปลี่ยนใหม่มาแล้ว เปลี่ยนเพราะอะไร ใช้งานหนักจนเบาะชำรุดมาก หรือเบาะเดิมไม่สวยถึงเปลี่ยนใหม่ 8.2 คอนโซลหน้า ว่าเป็นของเดิมจากโรงงาน ไม่เสียรูป มีการแตกที่ผิดปกติ หรือเปลี่ยนใหม่เพราะอะไร 8.3 หน้าปัด เป็นการดูว่าหน้าปัดยังเป็นของเดิมตรงรุ่น ดูระยะกิโลการใช้งาน แต่การเชื่อถือระยะกิโลเป็นหลัก ก็ยังเป็นการผิด เพราะสามารถปรับแต่งกันได้ หรือรถใช้น้อยแต่เครื่องพัง วิ่งลุยน้ำทุกวัน หรือใช้งานหนัก สู้เลือกรถใช้งานมาก แต่ขับถนอมดีกว่า 8.4 พวงมาลัย และ หัวเกียร์ สังเกตพวงมาลัยว่า มีการยุบอย่างไร พวงมาลัยและหัวเกียร์ที่ผ่านการใช้งานหนัก จะมีการสึกหรอสูง จนเป็นมัน เป็นรอยแตก สังเกตลายที่แตกต่างบนพวงมาลัย 8.5 ผ้าหลังคารถ ว่ายังเป็นของเดิมมาจากโรงงาน มีการประกอบยึดใหม่ หรือเปลี่ยนใหม่เพราะอะไร 9. เครื่องยนต์ ถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อน สังเกตหาการซ่อมแซม สตาร์ทเครื่องฝังเสียง เปิดฝาเติมน้ำมันเครื่อง แล้วสังเกตไอน้ำมันเครื่อง เสียงท่อไอเสีย ควันจากท่อ หรือถ้ามีบุ๊กเซอร์วิสติดมา จะเป็นการดีครับ รองเปิดดูประวัติการซ่อม และดูด้วยว่าต้องต้องตรงกับทะเบียนรถ และเลขไมล์ในตัวรถ 10. ช่วงล่าง และล้อยาง รองหมุนโยกพวงมาลัยแรงๆ แต่การรองขับขี่เป็นการดีที่สุด ทดสอบการเกาะถนนทางตรงและทางโค้ง ศูนย์ของรถต้องไม่กินซ้ายกินขวาต้องรองเลี้ยวกลับรถแบบสุดๆ ทั้งซ้ายและขวา การคืนพวงมาลัย ขึ้นเนินลูกระนาด หรือรองบนทางขรุขระ ทุกรูปแบบที่สามารถจะทดสอบได้ ************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532
Timeline Photos
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง และเปลี่ยนกรองอากาศแท้ Mitsubishi triton
Timeline Photos
ถอดระบบแก๊ส mazda 3 อู่ เฮง กิมจุ้ย โทร 086-701-6532 #เทพารักษ์ #สมุทรปราการ #อู่ซ่อมรถดี #NGV #LPG #อู่เฮงกิมจุ้ย #KU #มเกษตร #เกษตร #ช่วงล่าง #เบรก #คลัช #เกียร์ #ระบบแก๊ส #ระบบแก็ส #รถยนต์ #แอร์ #แอร์รถยนต์ #สำโรง #รถซิ่ง
Timeline Photos
ตอบข้อสงสัย ทำไมรถแข่ง GT300 และ GT500 ถึงวิ่งแข่งพร้อมกัน? ... ในการแข่งขัน Super GT ในทุกสนาม รถแข่ง GT300 และ GT500 จะถูกปล่อยตัวให้วิ่งพร้อมๆกัน อ้าวว...อย่างงี้ รถแข่ง GT300 มันจะไปวิ่งทัน GT500 ได้ยังไง? รถแข่ง GT500 มันก็ชนะทั้งปีน่ะสิ? ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายคน คงจะเกิดคำถามขึ้นในใจเช่นเดียวกับผม จริงอยู่ครับ ที่ว่าปล่อยตัวออกสตาร์ทพร้อมกัน แต่ทว่าอันดับการเข้าเส้นชัยจะถูกเอามาตัดสินแยกเป็นรุ่น GT300 และ GT500 เพราะฉะนั้น ถึงแม้รถแข่ง GT300 และ GT500 จะวิ่งพร้อมกัน แต่ก็ไม่ได้มีผลดีผลเสียกับอันดับเข้าเส้นชัย อ่อ...อย่างนี้นี่เอง แต่ก็ยังงงอยู่ดีว่า ทำไม GT300 และ GT500 ถึงปล่อยตัวพร้อมกัน? ความจริงก็คือว่า... ปกติแล้ว สำหรับการแข่งขันรถยนต์ GT ทุกประเภทนั้น ถือเป็น “ธรรมเนียมปฏิบัติ” อยู่แล้วว่า รถแข่งทุกรุ่นทุกคลาส ต้องลงแข่งใน “เรซ”(Race)เดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ในบางสนามของการแข่ง FIA GT รถแข่งรุ่นพี่ใหญ่และรถแข่งรุ่นน้องเล็กอย่าง GT1 และ GT2 ก็จะวิ่งแข่งพร้อมกัน สำหรับการแข่งขัน Super GT แล้ว เหตุผลหลักๆของการปล่อยให้ GT300 และ GT500 ลงแข่งใน “เรซ” เดียวกันนั้น ถือเป็นการ “เอนเตอร์เทนผู้ชม” นั่นเอง และนี่ก็เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของการแข่งขัน Super GT โดยเฉพาะรถแข่งคลาส GT500 แค่ลำพังไล่แซงรถแข่ง GT500 ด้วยกันเองก็ลำบากพอแล้ว แต่นี่ยังต้องหาจังหวะแซงรถ GT300 ที่วิ่งช้ากว่า เพราะฉะนั้น ในตลอดทั้งการแข่งขัน จึงมีการ “แซง” กันบ่อยครั้งมากๆ การแข่งขัน Super GT จึงเป็นการแข่งขันที่ท้าทายและต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลา สำหรับผู้ชมก็จะเร้าใจกับการผลัดการไล่ ผลัดกันแซงของฝูงรถแข่งที่กระหายซึ่ง “ชัยชนะ” ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบการแข่งขัน และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไม GT300 และ GT500 ถึงแข่งพร้อมกัน? *************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532
การแข่งขัน Super GT คืออะไร?
การแข่งขัน Super GT คืออะไร? . การแข่งขัน Super GT เป็นการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1993 โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้น ใช้ชื่อการแข่งขันว่า JGTC (Japanese Grand Touring Championship) ซึ่ง “ชื่อการแช่งขัน” ก็บอกเป็นนัยอยู่แล้วว่าเป็นการแข่งขันรถที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่น(Japanese Domestic Car) และแข่งกันเฉพาะภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นหากแต่ในภายหลัง JGTC ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สื่อมวลชนและแฟนๆมอเตอร์สปอร์ตทั้งในและนอกประเทศต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทำให้มีรถแข่งสัญชาติอื่น บินข้ามน้ำข้ามทะเลอื่นเพื่อมาร่วมแข่งขันอย่างคึกคัก อย่างเช่น Audi, BMW และ Mercedes Benz นอกจากนั้น JGTC ยังมีการจัดการแข่งขัน “นอก” เกาะญี่ปุ่นบ่อยครั้งขึ้น และในที่สุด คณะผู้จัดการแข่งขันจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก “JGTC” เป็น “Super GT” เพื่อเพิ่มความเป็น “สากล” ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา . Super GT ถือเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ในการแข่งขัน 1 ฤดูกาลจะเริ่มเปิดฉากแข่งขันตั้งแต่ต้นปี ยาวไปจนถึงสิ้นปี ปกติแล้ว สนามที่ใช้แข่งขันส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เช่น สนามทวินริง โมเตกิ, สนามฟูจิ สปีดเวย์, สนามซูซูก้า เซอร์กิต เป็นต้น นอกจากนั้น Super GT ยังมีการจัดการแข่งขันในสนามต่างประเทศ เช่น “สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” ประเทศมาเลเซีย รวมไปถึง “สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” ของบ้านเราด้วย โดยปกติแล้ว ใน 1 ฤดูกาลจะทำการแข่งขันทั้งหมด 8 สนาม และสนามสุดท้ายหรือที่เรียกว่า “สนามของแชมป์” จะถูกกำหนดให้เป็น “สนามทวินริง โมเตกิ” (Twin Ring Motegi) ซึ่งเป็นสนามบ้านเกิดของ Super GT ตั้งอยู่ในจังหวัดโทชิหงิ ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้น การแข่งขันของ Super GT ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “Sprint Race” และ “Endurance Race” โดยส่วนใหญ่แล้ว Super GT จะแข่งแบบ “Sprint Race” หรือเรียกว่า “การแข่งระยะสั้น” โดยใช้ระยะทาง 250 หรือ 300 กิโลเมตร หรือไม่ก็แข่งกันแบบโหดๆ อย่าง “Endurance Race” ซึ่งใช้ระยะทางมากถึง 1000 กิโลเมตร ซึ่งการแข่งขันสุดโหดนี้จะจัดขึ้นที่สนาม Suzuka Circuit เท่านั้น โดยใช้ชื่อการแข่งขันว่า “SUZUKA 1,000KM” ส่วนการแข่งขันที่สนาม “ช้าง อินเตอร์แนชั่นแนล เซอร์กิต” ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น เป็นสนามที่ 7 ของฤดูกาล 2014 จัดเป็นการแข่งประเภท “Sprint Race 300km” ซึ่งใช้รอบการแข่งทั้งหมด 66 รอบสนามครับผม *************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532
Timeline Photos
เทคนิคการขับถอยหลัง . เรื่องของการขับรถถอยหลังนั้นจริงแล้วถือว่าเป็นการขับที่ค่อนข้างมีปัญหาเป็นอย่างมากเลยทีเดียวโดยเฉพาะนักขับมือใหม่ ซึ่งในวันนี้เราจะพาไปพบกับเทคนิคการขับรถถอยหลังที่ นักขับรถมือใหม่ควรทราบ และสามารถนำไปทำตามได้ง่ายๆเลยทีเดียว โดยมีเทคนิคการขับดังนี้ 1.ขับช้าๆ การขับรถถอยหลังควรที่จะขับด้วยความเร็วต่ำ เพราะจะทำให้สามารถควบคุมพวงมาลัยรถได้ดีกว่าการขับด้วยความเร็วสูง 2.เคลื่อนที่เล็กน้อยตอนหมุนพวงมาลัย ในขณะที่เราทำการหักเลี้ยวพวงมาลัย ในขณะขับรถถอยหลังควรที่จะมีการเคลื่อนที่ขอรถเล็กน้อยเพราะจะทำให้ลดการเสียดสีของหน้ายางกับถนนลดลง 3.อยากให้ท้ายรถหันไปทางไหนก็หักเลี้ยวไปทางนั้น ตามหลักของการขับรถถอยหลัง ถ้าเราต้องการให้ท้ายรถหันไปทางไหนก็ให้ทำการหักพวงมาลัยไปทางด้านนั้น ยกตัวอย่างเช่น ต้องการจะให้ท้ายรถหันไปทางด้านซ้าย ก็ให้ทำการหักพวงมาลัยไปทางด้านซ้าย 4.ถอยหลังในจังหวะคับขัน หากมีความจำเป็นที่จะต้องถอยหลัง ในช่วงที่มีการจราจรหนาแน่น ให้ทำการเปิดสัญญาณไฟ แล้วดูด้วยว่ารถที่ผ่านไปมาพ้นระยะวงเลี้ยวเราหรือไม่ทั้ง ด้านหน้า-ด้านหลัง ซ้าย-ขวา 5.ดูระยะห่างด้านหลังให้ดี การถอยหลังเข้าซองที่มีด้านหลังเป็นกำแพง แล้วกลัวว่ารถจะชนกับกำแพงทางด้านหลัง ให้ใช้วิธีการแตะเบรคช่วยในจังหวะที่กำลังถอยแล้วดูรัศมีของไฟ จะสามารถช่วยได้เช่นกันหากรัสมีของไฟเล็กลงแสดงว่าใก้กับกำแพงแต่ถ้ารัสศมีไฟยังใหญ่อยู่แสดงว่าสามารถถอยได้อีก 6.ดูรถคันด้านข้างก็ได้ วิธีการดูแบบนี้ก็เป็นอีกวิธีที่สามารถดูได้เช่นกัน เมื่อเราทำการถอยหลังนั้นให้ทำการสังเกตประตูของรถคันที่จอดคันข้างๆ ซึ่งตอนถอยจอดพยามให้ประตูรถเราเท่ากับคันด้านข้างเป็นอันใช้ได้ *************************************************** ******** ติดตาม สาระน่ารู้ เทคนิดการขับขี่ และวิธีดูแลรักษารถยนต์ได้ทุกๆวัน FACE BOOK: อู่ เฮง กิมจุ้ย ปรึกษาปัญหารถยนต์ โทร 086-701-6532